Thursday, January 24, 2013

รวมบันทึกเหตุการณ์

บันทึกเหตุการณ์การเสียกรุงศรีอยุธยาพ.ศ.2310
โดย:บาทหลวงฝรั่งเศสผู้เผยแพร่ศาสนาคาทอลิกในกรุงศรีอยุธยา
(เขียนเพื่อรายงานไปยังประเทศฝรั่งเศส)
"เมื่อพม่าเข้ากรุงได้แล้วนั้นพม่าได้เอาไฟเผาบ้านเรือน ทำลายข้าวของต่างๆ อยู่ 15 วันและได้ฆ่าฟันผู้คนไม่เลือกว่าคนมีเงินหรือไม่มีเงินก็ฆ่าฟันเสียสิ้นแต่พวกพม่าพยายามฆ่าพวกพระสงฆ์มากกว่าแลได้ฆ่าเสีย นับจำนวนไม่ถ้วนข้าพเจ้าเองได้เห็นพม่าฆ่าพระสงฆ์ในตอนเช้าเวลาเดียวเท่านั้นกว่า20 องค์"

"เมื่อพม่าได้เผาบ้านเรือนในพระนครตลอดจนพระราชวัง และวัดวาอารามหมดสิ้นแล้วพวกพม่าจึงเตรียมการที่จะยกกลับไป พวกพม่าได้ยกทัพออกจากกรุงเมื่อวันที่ 15 เดือนเมษายน ค.ศ.1767 (พ.ศ.2310)"

ประวัติศาสตร์ไทยสมัยกรุงศรีอยุธยา ฉบับตุรแปง แต่งโดยนาย
"ฟรังซัวส์ อังรี ตุรแปง" ชาวฝรั่งเศส โดยรวบรวมเรื่องราวจากบันทึกของสังฆราช บาทหลวงชาว ฝรั่งเศส
"วันที่ 28เม.ย.1767(กรุงแตก7เมย.)บ้านเมืองถูกยึดโดยการโจมตีทรัพย์สมบัติในพระราชวังและวัดต่างๆไมเหลืออะไรเลยนอกจากซากปรักหักพังและเถ้าถ่านพระพุทธรูปถูกนำมาหลอมและทำลายโดยผู้ชนะที่ป่าเถื่อนผู้มีแต่ความโลภเท่านั้นเพื่อเป็นการแก้แค้นในความเสียหายครั้งนี้ พวกพม่าได้ถ่ายเทความโกรธแก่เมืองเล็กๆโดยรอบสยาม"
"พวกพม่าได้ใช้ไฟลนฝ่าเท้าของพวกสยาม เพื่อจะให้พวกสยามเปิดเผยที่ซ่อนทรัพย์สิน และทำการข่มขืนลูกสาวที่กำลังร่ำไห้ต่อหน้าต่อตาพวกเขา" "พระสงฆ์ซึ่งถูกสงสัยว่าปิดบังทรัพย์สินจำนวนมากถูกธนูยิงจนพรุนและถูกหอก คนอื่นๆจำนวนมากก็ถูกตีจนตาย ด้วยกระบองหนัก" "สภาพบ้านเมืองก็เช่นเดียวกับวัดวาอารามซึ่งเต็มไปด้วยซากศพแม่น้ำต่างๆไหลไม่สะดวกเนื่องจากพวกซากศพกีดกั้นทางน้ำกลิ่นเหม็นจากสิ่งเหล่านี้ ชักจูงพวกแมลงวันมาตอมอันเป็นเหตุให้ยุ่งยากในการล่าถอยของกองทัพพวกเสนาบดีและพวกคนสนิทถูกจับใส่โซ่ตรวนและถูกกล่าวหากลายเป็นทาสอยู่ในเรือโบราณพระเจ้าแผ่นดินผู้รู้เห็นในชะตากรรม ของข้าราชสำนักพระองค์ได้พยายามที่จะหลบหนีแต่พระองค์ทรงถูกจำได้ และถูกปลงพระชนม์ที่ประตูพระราชวัง" "ขุนหลวงหาวัด(พระราชอนุชาพระเจ้าเอกทัศน์ ซึ่งกำลังผนวชอยู่)ถูกพรากจากความสงบซึ่งพระองค์ปรารถนาเพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องยุ่งยากและถูกนำไปรวมกับพระราชวงศ์ทั้งหมดพวกที่ถูกจับกุมทั้งหมดกลัวถูกทรมานได้สารภาพว่าพวกเขามีทรัพย์สมบัติที่แอบซ่อนอยู่มากมายเมื่อความโลภของพวกพม่าเป็นที่จุใจแล้ว และบ้านเมืองเต็มไปด้วยซากศพ และคนที่กำลังจะตาย กองทัพที่มีชัยก็ถอนกลับไปพะโค"

หนังสือ"อภินิหารบรรพบุรุษ"สมุดไทย กระดาษข่อยขาว
ของ ม.จ.ปิยภักดีนาถ สุประดิษฐ์
"ในแผ่นดิน(รัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ)เจ้าพระยาจักรีที่สมุหนายกตั้งบ้านเรือนอยู่ใก้ลกำแพงพระมหานครกรุงศรีอยุธยา ในกาลครั้งโน้นนั้น จีนมีชื่อไหยฮอง เป็นขุนพัฒน์นายอาการบ่อนเบี้ยแลกอบด้วยภรรยาทาสชายหญิงแลทรัพย์สมบัติโดยสมบูรณ์ จึงเข้าไปพึ่งบารมีอาศัยที่อยู่หน้าบ้านท่านเจ้าพระยาจักรีมาช้านาน จนภรรยาตั้งครรภ์กำหนดได้ 10 เดือน ก็คลอดบุตรชายคนที่
1 ในจุลศักราช 1096ปีขาลฉอศกกุมารบุตรจีนไหยฮอง ขุนพัฒน์นั้นมีศิริรูปพรรณสันฐานงามยิ่งนักโดยลักษณะกุมารนั้นเป็นจตุรัสกายคืออธิบายว่าวัดตั้งแต่เท้าถึงศูนย์สะดือเป็นมัชฌิมะกายได้ส่วนหนึ่งแลวัดตั้งแต่ศูนย์สะดือถึงผมตกแห่งหน้าผากเป็นส่วนหนึ่ง แลวัดตั้งแต่ศูนย์อุระราวถันออกไปถึงปลายนิ้วมือข้างซ้ายเป็นส่วนหนึ่ง ข้างขวาเป็นส่วนหนึ่งทั้งสี่ส่วนนั้นยาวเสมอกันไม่ก้ำเกินที่สะดือนั้นเป็นหลุมลึกลงไป พอจุผลหมากลงทั้งเปลือกผิดกับสามัญชนทั้งหลายจึงว่าเป็นลักษณะจตุรัสกาย คือรูปศิริกายเป็นส่วนสี่เหลี่ยม ดุจดังพระพุทธลักษณะแห่งองค์สมเด็จพระสมณโคดม"

ราชพงศาวดารกัมพูชา ฉบับหลวงเรืองเดชอนันต์
(ทองดี ธนะรัชต์-บิดาจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์)แปล
"ลุศักราช 1131(พ.ศ.2312)ปีฉลู พระเจ้าตาก(สิน)เป็นบุตรจีนไหหง อยู่ในกรุงศรีอยุธยา ได้รวบรวมกำลังออกรบกับพม่ามีชัยชนะขับไล่พม่าออกไปจากเมืองไทยแล้วตั้งตนขึ้นเป็นเจ้าาในกรุงศรีอยุธยา ได้ใช้ให้ข้าหลวงนำศุภอักษรมาทูลสมเด็จบรมบพิตรพระนารายณ์ราชาธิบดีณ กรุงกัมพูชาให้มีราชสาส์น(พร้อมด้วยเครื่องบรรณาการดอกไม้เงินทอง)ไปถวายแด่พระเจ้าตาก เพื่อเป็นทางพระราชไมตรีดุจกาลก่อน สมเด็จพระบรมบพิตรทรงพระดำริเห็นว่า พระเจ้าตากนี้ เป็นเสมอแต่ เพียงบุตรจีนไหหง ตระกูลราษฎรสามัญแลมาตั้งต ัวเองขึ้นเป็นกษัตริย์จะให้เรานำเครื่องราชบรรณาการดอกไม้เงินทองไป ถวายยอมเป็นเมืองขึ้นเช่นนี้ดูกระ
ไรอยู่ เห็นจะไม่เป็นการสมควรพระองค์จึงไม่ทรงยอมรับเป็นเมืองประเทศราชแก่ พระเจ้าตาก"

พงศาวดารญวณหรือหนังสือ"เวียดนามสือกี้"
ฉบับนายหยอง ญวน
ทหารปืนใหญ่แปล พิมพ์ครั้งแรกปี พ.ศ.2443
"ประการหนึ่งอันพระเจ้ากรุงธนบุรี คือเจ้าตากสิน ชาติตระกูลบิดาเป็นจีนแต้จิ๋ว ตั้งบ้านเรือนอยู่ในเขตแขวงกรุงเก่า แซ่ติ้นชื่อก๊กฮวย ครั้นเมื่อกรุงศรีอยุธยาโบราณเสียแก่พม่าข้าศึก พระยาตากจึงตั้งตัวขึ้นเป็นกษัตริย์ตั้งกรุง ณ ประเทศตำบลบางกอกใหญ่ เรียกกรุงธนบุรี"

พระราชพงศาวดารจีนราชวงศ์เช็ง
แผ่นดินพระเจ้าเขียนหลง
บันทึกประวัติโดยอาลักษณ์จีน
"บิดาเจิ้งเจาเป็นชาวมณฑลกวางตุ้งไปทำมาค้าขายอยู่ที่่เสียมล่อก๊กและเกิดเจิ้งเจาที่นั่นเมื่อเจิ้งเจาเติบใหญ่เป็นผู้มี
ความสามารถได้เข้ารับราชการอยู่ในเสียมล่อก๊ก เมื่อเจิ้งเจารบชนะพม่าแล้ว ราษฎรทั่วประเทศยกขึ้นเป็นเจ้าครองประเทศ"

พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี
ฉบับพันจันทนุมาศ(เจิม)
ฉบับหมายเลข 2/ไฆ

"จึงอุตสาหะด้วยกำลังกรุณาแก่สมณพราหมณาจารย์แลพุทธศาสนาจะเสื่อมสูญเดิมชื่อจีนแจ้งซึ่งเป็นพ่อค้าเกวียนมีความชอบในแผ่น
ดินได้เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินอยู่ ณ เมืองตาก"

ประชุมพงศาวดารภาคที่ 65
"พุทธทำนายในคัมภีร์ธาตุวงศ์ ใจความว่าตระกูลเสนาบดีได้เป็นกษัตริย์ 4 พระองค์ๆสุดนั้นพม่าจะยกมาย่ำยีกรุงเทพฯเสียแก่พม่าแล้ว ยังมีชายพ่อค้าเกวียนนั้นจะได้เป็นพระยาครองเมืองทิศใต้ กรุงชายชเลชื่อเมืองบางกอก…"

จดหมายเหตุของพวกคณะบาทหลวงฝรั่งเศส
ประชุมพงศาวดารภาคที่ 39
"…ในเวลานั้นพระยาตาก ซึ่งเป็นชาติจีนครึ่ง 1 นั้น กำลังดำริจะเอาราชสมบัติ…"


ประวัติศาสตร์ไทยสมัยกรุงศรีอยุธยา
ฉบับตุรแปง พิมพ์ที่ปารีส เมื่อ
พ.ศ.2314 ต้นสมัยกรุงธนบุรี
"ประชาชนมุ่งมั่นไปที่พระยาตาก ขุนนางสยามซึ่งมารดาเป็นชาวจีนท่านเป็นทั้งนักการเมือง และนักรบ ท่านปูทางที่จะไปสู่ความยิ่งใหญ่ของท่าน ด้วยการเรียกร้องความสงสารและความเห็นใจ ท่านได้รับเลือกเป็นหัวหน้าโดยเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนทั้งหมด ครั้งแรกท่านได้ใช้นามแฝงว่า "ผู้กู้ชาติ"และแอบแฝงความสูงศักดิ์ โดยการใช้เครื่องนุ่งห่มตามปรกติ ท่านปรารถนาที่จะทำตัวเป็นเพียงประชาชนคนหนึ่งเท่านั้น เพื่อที่จะเป็นผู้ปกครองประเทศที่แท้จริงต่อไป"

พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา
ฉบับสมุดไทยดำเส้นดินสอขาว
(ฉบับนี้พิศดารกว่าฉบับอื่น
เพราะเขียนให้ร้ายพระยาตากสิน)

"ขณะนั้นยังมีบุตรจีนคลองสวนพลูคนหนึ่ง ขึ้นไปค้าขายอยู่ ณ เมืองตากหลายปีครั้นอยู่มาจีนผู้นั้น เป็นคนมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดช่วยกรมการชำระถ้อยความของราษฎรอยู่เนืองๆ เจ้าเมืองตากนั้นป่วยลงก็ถึงแก่ความตายจีนมีชื่อผู้นั้นก็ตัดผมเป็นไทย ลงมา ณ กรุงศรีอยุธยา จะเดินเป็นเจ้าเมืองตาก จึงเข้ามาหานายสด เป็นคนรักกันกับชายมีชื่อผู้นั้น นายสดก็พาชายมีชื่อผู้นั้นไปหาหลวงนายชาญภูเบศ นายเวรมหาดเล็กของขุนหลวงหาวัดหลวงนายชาญภูเบศก็ไปหาพระยาจักรีว่า ชายมีชื่อจะเดินเป็นตัวเมืองตาก จะกราบเท้าเจ้าคุณให้ช่วยด้วยพอมีหนังสือมาวางเวรว่า เจ้าเมืองตากนั้นถึงแก่อนิจกรรมเสียแล้วพระเจ้าอยู่หัวทรงพระดำริว่า เมืองตากเล่าก็เป็นเมืองหน้าศึกอยู่ ให้พระยาจักรีหาคนที่มีสติปัญญาพอจะเป็นได้""พระยาจักรีเห็นได้ท่วงทีแล้วก็กราบบังคมทูลว่า เห็นจะจัดแจงได้พระเจ้าอยู่หัวก็เสด็จขึ้น พระยาจักรีก็กลับออกมาบอกนายชาญภูเบศว่าได้ จึงให้หาชายมีชื่อผู้นั้นเข้ามาบอกว่า พระเจ้าอยู่หัวโปรดแล้วพระยาจักรีจะให้มีท้องตราขึ้นไป พระยาจักรีก็นำเอาชายมีชื่อผู้นั้นเข้าเฝ้าถวายบังคม ทรงพระกรุณาโปรดฯให้เป็นพระยาตาก จึงพระราชทานเครื่องยศสำหรับเมืองเก่านั้นขึ้นไป"

"พระยาตากกับภรรยาและบ่าวของตัวขึ้นไปถึงเมืองตากวางตรา กรมการทั้งปวงพร้อมกันก็จัดแจงเรือและคนสำหรับเมืองคานหามแห่นั้นทั้งสิ้น พระยาตากครองเมืองตากสืบไป ไพร่บ้านพลเมืองชื่นชมยินดีนักจะว่ากล่าวอันใดคนกลัวเกรงมาก ก็จัดแจงตั้งบ่อนถั่วบ่อนไก่ ให้กรมการมาเล่น ทั้งชาวบ้านชาวเรือ คิดฉ้อตระบัดถ้อยความของราษฎรว่าเสียผู้เดียว ข่มเหงกรมการทั้งปวง ชาวบ้านชาวเรือที่มีทรัพย์เอาเป็นของตนสิ้น กรมการทนทานมิได้ จึงร่วมคิดกันหลายคนว่าเราทั้งปวงเรี่ยไรเงินกันเข้า จ้างคนดีมีวิชาให้ฆ่าเจ้าเมืองเสีย จึงชวนกันเที่ยวหาจ้างคนอ้ายรั่งทาสหลวงยกกระบัตรก็รับเอา อยู่ได้สามวันสี่วันเห็นสนิทเพลาค่ำ ถือดาบย่องเข้าไปที่พระยาตากนอนนั้นครั้นเห็นหลับสนิทแล้วถือดาบเข้ามาเงื้อดาบขึ้นจะฟัน ก็บังเกิดไฟลุกขึ้นทั้งตัว เป็นประจักษ์แก่ตา อ้ายรั่งตกใจล้มลง พระยาตากตื่นขึ้นเห็นคนถือดาบก็จับเอาตัวได้ จึงว่าอ้ายนี่จะฆ่ากูด้วยอันใด อ้ายรั่งจึงว่าเขาจ้างให้มา ข้าพเจ้ายากจนก็รับจะฆ่าเจ้าคุณเสีย เจ้าคุณบุญมากจะเป็นกษัตริย์ พอข้าพเจ้าเงื้อดาบจะฟัน เป็นไฟลุกขึ้นทั้งตัวเจ้าคุณจะได้เป็นกษัตริย์เป็นมั่นคง ขอชีวิตข้าพเจ้าเถิด พระยาตากได้ยินอ้ายรั่งทำนาย ว่าตัวจะได้เป็นเจ้าแผ่นดิน มีใจกรุณาปล่อยอ้ายรั่งนั้นเสียพระยาตากมีใจกำเริบขึ้นกระทำสิ่งอันชั่วต่อไปไม่กลัวเกรงพระราชอาญาหามิได้"

"กรมการพร้อมกันแต่งหนังสือเข้าชื่อกันบอกลงมาถึงสมุหนายกกล่าวโทษพระยาตากว่ากระทำหยาบช้าเป็นหลายข้อสมุหนายกก็นำ เอาข้อความขึ้นกราบถวายบังคมทูลพระเจ้าอยู่หัวได้ทราบเหตุดังนั้น จึงให้ขุนรามมรณภพขึ้นไปจับพระยาตากฆ่าเสีย เป็นคนหาอยู่ในหิริโอตัปปะมิได้ โฉดเขลาเมาในสันดาน พาลประทุษจริตให้ขึ้นไปฆ่าเสียครั้นฆ่าเสียแล้วให้ครองเมืองเถิด ขึ้นนางมีชื่อผู้นั้นก็ขึ้นไป พระยาตากรู้ให้ลงมารับข้าหลวงขึ้นไปเลี้ยงดูมิให้รู้หนักเบาจับข้าหลวงฆ่าเสียกรมการทั้งปวงเข้าชื่อกันบอกลงมา พอพม่าติดกรุงพระนครศรีอยุธยาก็จนใจอยู่"

"ครั้นพม่าล้อมกรุง พระยาตากจัดทหารห้าร้อยคนลงมาอาสาตีทัพพม่าถวาย ครั้นลงมาถึงกรุงเข้าเฝ้ารับอาสาตีพม่า พระเจ้าอยู่หัวพระราชทานเสื้อทรงอย่างน้อยที่ดีให้พระยาตากตัวหนึ่ง กับข้าวสารแจกให้ทุกทหารคนละถังแล้วออกตีพม่า"

จดหมายเหตุความทรงจำ
ของกรมหลวงนรินทรเทวี
"พม่าล้อมไว้3ปีแผ่นดินต้น(พระเจ้ากรุงธนบุรี)หนีออกจากเมืองกับผู้
คนพรรคพวก 500 มีปืนถือติดมือ แต่ท่านหนีข้ามฟากไปตะวันออก"

source - http://nu20003.9.forumer.com/a/_post905.html

No comments:

Post a Comment